ในการทำ Digital Marketing เราคงได้ยินคำว่า SEO หรือ Search Engine Optimization กันมานานแล้ว แต่อาจจะยังงงๆ ว่ามันคืออะไรและมันทำอะไร? มาถึงยุคน Social Media ก็มีคำว่า SMM หรือSocial Media Marketing เกิดขึ้นมาอีกแต่เอ๊ะ…แล้วยังไง? วันนี้ขอเล่าให้ฟังแบบภาษาง่ายๆ ว่ามันคืออะไร? แล้ว SEO vs SMM ใช้อะไรดี? และจะใช้อะไรเมื่อไหร่?
กาลครั้งหนึ่งบนโลกอินเตอร์เน็ต มีเมืองหนึ่งชื่อว่า “Google”
เมืองนี้เป็นเมืองธุรกิจจับแพะชนแกะ ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ถ้าเราอยากจะรู้จักใครซักคน หรืออยากซื้ออะไร หรืออยากรู้อะไรก็ตาม เพียงเอ่ยชื่อหรือคำที่ใข้อธิบายสิ่งๆ นั้นหรือคนๆ นั้นแบบสั้นๆ (เราเรียกมันว่า “Keyword” ละกัน) เจ้าเมือง Google เป็นคนกว้างขวางและมีความรู้เยอะมาก จะเอาอะไรก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับ keyword นั้นมานำเสนอให้เราเลือกว่าอันไหนหรือคนไหนที่เราชอบที่สุด
เมือง Google คงมีสภาพเป็นเช่นนี้ ทุกคนจะวิ่งไปหาเจ้าเมืองที่นั่งอยู่ตรงกลางเพื่อถามหาอะไรบางอย่าง
(ขอบคุณภาพจาก www.webworksofkc.com)
ดังนั้นก็จะมีคน มีร้านค้า มีอะไรต่ออะไรไปทำการขึ้นทะเบียนเอาไว้กับเจ้าเมือง ด้วยการอธิบาย Keyword ของตัวเองและทำตามกฏตามเงื่อนใขที่เจ้าเมืองกำหนด ใครกรอกรายละเอียดได้ดี ทำตัวน่ารักปฏิบัติตามกฏ เจ้าเมืองก็จะจำได้ และเมื่อมีใครถามถึง ก็จะพาคนหรือร้านค้าที่จำได้นั้นมานำเสนอให้เป็นตัวเลือกเป็นอันดับแรกๆ
ซึ่งวิธีการแบบนี้เค้าเรียกว่า SEO ซึ่งทำยากและใช้เวลานาน
เมื่อเวลาผ่านไป…คนมากมาย เว็บเยอะแยะ ทุกสิ่งอย่างก็มาขึ้นทะเบียนและก็ทำตามเงื่อนใขกันหมด แต่เจ้าเมืองก็ยังจำได้แต่คนเดิมๆ ส่วนคนที่มาใหม่จึงถูกจัดอยู่อันดับท้ายๆ จึงไม่เคยถูกเลือก
เจ้าเมืองเลยบอกว่า “ฉันมีบริการพิเศษ ฉันจะพาเธอไปโชว์ตัวให้คนได้เลือกบ่อยๆ รับรองจะเห็นเธอก่อนที่จะเห็นคนแรกของ SEO เสียอีก บริการนี้มีชื่อว่า SEM (Search Engine Marketing) แต่ไม่ฟรีนะต้องจ่ายตัง ถ้าพามาโชว์ตัวแล้วมีคนเลือกไปค่อยจ่ายตัง (SEM คิดค่าบริการแบบ PPC หรือ Pay-per-click) ถ้าไม่มีใครเลือกเธอ..ก็ไม่ต้องจ่าย”
ดังนั้นคนมากมายเลยไปใช้บริการนี้กัน ทำให้บางครั้งมีการแย่งกัน เจ้าเมืองเลยกำหนดว่า ใน Keyword เดียวกัน (จริงๆ แล้วในการทำ SEM จะเรียก “Adword” แทนคำว่า “Keyword”) ใครจ่ายมากกว่าจะถูกพามาโชว์ตัวก่อน ส่วนจะแพงขนาดไหนให้ดูตัวเลขในวงกลมสีแดงตามภาพด้านล่าง
ตัวเลขยิ่งสูงราคาก็ยิ่งแพง
เมือง Google เป็นต้นตำรับเรื่อง SEO และ SEM เป็นเมืองแห่งการทำ Matching โดยจับความสนใจของผู้มาเยือนหรือ Keyword มา Match กับพ่อค้า (หรือ Content) เพื่อให้เกิดการซื้อขายหรือบริโภคเนื้อหานั่นเอง
ด้วยความที่เป็นเมืองที่ขนาดใหญ่ที่สุด เก่าที่สุดและมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด และเมืองนี้ยังเป็นผู้ผลิตยานพาหนะ (Chrome) เพื่อให้ลูกค้าท่องไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ต ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก (Android) อีกด้วย ดังนั้นอีกหน่อยเมืองนี้จะรู้นิสัยนักท่องเที่ยวแบบหมดเปลือกเลย หากอยากได้ลูกค้าใหม่ๆ หรือทำการส่งเสริมการขายลดแหลก แจกแถม มาที่เมืองนี้ก็จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
เว็บทุกเว็บย่อมต้องการให้มีคนรู้จักเยอะๆ ต้องการที่จะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ถูก Google นำเสนอ ก็เลยต้องทำตามกฏของ Google จนทำให้เว็บต่างๆ เป็นดั่งเมืองขึ้นของ Google ที่มีตัวอักษรเต็มไปหมดเพราะเจ้าเมือง Google ไม่ชอบรูป ไม่ชอบ Flash หรืออะไรที่ไม่ใช่ Text
ชาวเน็ตจึงเริ่มเบื่อเมืองตัวอักษรที่มีป้ายโฆษณาเยอะแยะเต็มไปหมด
ณ อีกฟากหนึ่งของโลก เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี่เองจึงได้มีเมืองเกิดขึ้นมาใหม่
เจ้าเมืองตั้งชื่อมันว่า “Facebook”
เมืองนี้เป็นเมืองแห่งการพบปะสังสรรค์ แต่ต้องเป็นสมาชิกจึงผ่านประตูเมืองเข้าไปได้ คนที่ชอบการออก “สังคม” และเบื่อเว็บไซต์ที่เป็นเสมือนอาณานิคมของ Google ก็หนีมาที่นี่กัน เพราะที่นี่มีเพื่อน สมาชิกจะได้รับรู้ถึงความเป็นไปของเพื่อนๆ ทุกคน
เมือง Facebook คงมีบรรยากาศคล้ายๆ กับภาพด้านบนนี้
(ขอบคุณภาพจาก http://dreamstime.com)
ในเมืองนี้เปิดผู้ให้บริการจากทั่วโลกมาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก (App ต่างๆ บน facebook) ให้กับสมาชิก จึงมีทุกอย่างที่สมาชิกต้องการเลยทีเดียว
เมืองนี้มีบริการพืเศษอนุญาตให้สมาชิกเปิดห้องปาร์ตี้ (เพจ) กันได้ฟรีๆ แถมสมาชิกที่เคยมาสังสรรค์จะได้รับข่าวกิจกรรมต่างๆ ของห้องปาร์ตี้ด้วย เจ้าเมืองยังช่วยหาสมาชิกใหม่โดยดูว่าสมาชิกแต่ละคนมีความชอบ (Like) อะไร? เคยเป็นสมาชิกห้องไหนบ้าง? แล้วทำการชักชวนและส่งข่าวไปให้ สมาชิกของแต่ละห้องยังช่วยกันบอกต่อว่าห้องไหนดี ห้องไหนมีอะไร (Share) นอกจากนั้นในเมืองนี้ใครอยากตั้งสมาคม (Group) ของสมาชิกเฉพาะกลุ่มก็ทำได้ หรือใครอยากจัดกิจกรรม (Event) สำหรับสมาชิกก็ทำได้เช่นกัน
ทั้งหมดนี้รวมๆ กันก็คือ SMM หรือ Social Media Marketing นั่นเอง
แต่พอเมืองมีขนาดใหญ่ขึ้น ข้าราชการเมืองนี้เริ่มส่งข่าวสารจากเพจไปให้สมาชิกไม่ไหว จึงลดจำนวนการส่งลง หากใครอยากส่งเยอะๆ ก็จ่ายค่าบริการมาละกัน แต่เจ้าเมืองจะช่วยเลือกคนที่เหมาะสมและน่าจะเป็นลูกค้าให้ด้วย (หรือ Promote Post ซึ่งเป็น Pay-Per-Click เหมือนกับ SE M)
สังเกตุดีๆ จะเห็นว่า Facebook ก็ทำคล้ายๆ กับ Google คือการจับความสนใจของผู้มาเยือนจากการเก็บประวัติ พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของนักปาร์ตี้ขี้แตกอย่างละเอียด (ซึ่ง Google ใช้ Keyword) แล้วพยายามนำเสนอสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกลับไป..ไม่ว่าจะเป็นคน, Event, Page, Group, และโพส (ทั้งหมดนี้ก็คือ “Content” นั่นเอง) และก็มีทั้งแบบฟรีและเสียตัง
การทำ SMM สามารถช่วยขยายฐานลูกค้าจากการที่ชาวเมืองแชร์ให้เพื่อนหรือเชิญเพื่อนมาร่วม และช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่าง Brand กับลูกค้าให้แนบแน่นเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม SMM อาจจะไม่เหมาะสำหรับการปิดการขายเท่ากับ SEO หรือ SEM
facebook เป็น Social Network ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย
ส่วนอันดับ 2 ในประเทศไทยคือ “Line”
ที่เมือง Line คนจะขยันคุยกันมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการคุยเรื่อยเปื่อย มีทั้งคุยเป็นคู่ หรือคุยแบบหมาหมู่ นับเป็นเมืองที่โตเร็วพอสมควร ชาวเขาเผ่าไทยเป็นพวกชอบคุยเรื่อยเปื่อยเลยมากันเยอะเป็นพิเศษ แต่เผ่าอื่นๆ ก็ไม่ได้นิยมเมืองนี้กันมากมายนัก อีกอย่างคือเมืองนี้มีที่ตั้งอยู่ห่างออกไปจึงต้องใช้ ยานพาหนะพิเศษ (App) จึงจะไปถึงได้ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ห้ามลงจากยานพาหนะเด็ดขาด
ก่อนเข้าเมืองต้องมีบัตรสมาชิกเพื่อตรวจสอบว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า แล้วเจ้าเมืองก็ให้สติ๊กเกอร์มาติดบนหน้าอก เอาไว้โชว์เพื่อนๆ เลยมีพ่อค้าหัวใสมาขายสติ๊กเกอร์กันในเมืองเต็มไปหมด
บริษัทเงินเยอะแต่คิดน้อยหลายบริษัทก็มาแจกสติ๊กเกอร์กะเค้า โดยหลงเชื่อว่าสติ๊กเกอร์เหล่านั้นจะช่วยโปรโมท Brand ได้ ด้วยการบังคับให้นักท่องเที่ยวยอมรับเค้าเป็นเพื่อนก่อนจึงจะแจกสติ๊กเกอร์ให้ พร้อมกับหวังว่าจะใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แต่นักท่องเที่ยวเมื่อได้รับของแจกแล้ว ก็มักจะเลิกคบทันที ทั้งสองวิธีจึงแทบจะไม่ได้ผลเลย
เนื่องจาก SEO และ SMM มีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน จุดประสงค์ของการใช้จึงแตกต่างกัน การที่จะระบุว่าจะใช้อะไรเมื่อไหร่..ต้องดูที่ความต้องการว่าเราต้องการอะไร และเลือกใช้ให้เหมาะสม
ทั้ง SEO และ SMM สามารถใช้สร้าง Brand Awareness และขยายฐานลูกค้าได้
สิ่งที่ต่างกันคือ SEO จะเป็นแบบ Pull คือลูกค้าต้องเข้ามา Search หาจึงได้ข้อมูลกลับไป ขณะที่ SMM จะเป็นแบบ Push ได้ด้วย อันเกิดจากการ Share ข้อมูลมาให้โดยไม่ต้องเข้าไปหา
ทุกวันนี้ Google เองก็พยายามให้ความสำคัญกับ SMM มากขึ้น โดยการเพิ่มคะแนนให้กับหน้าเว็บที่ถูกแชร์เข้าไปใน Social Media ใหญ่ๆ อย่าง Facebook และ Google + เป็นต้น
ความสามารถอีกอย่างของ SMM ที่ SEO ไม่มีคือการทำปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย เพราะ SMM สามารถสื่อสารแบบ 2 ทางกับลูกค้าได้และยังรู้ถึงพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าดีกว่า SEO อีกด้วย
แต่ SEO จะเหมาะกับการเสนอขายที่ลูกค้ารู้ว่าต้องการอะไรอย่างชัดเจนเช่น สินค้า เป็นต้น
ส่วน SEM เหมาะกับการปิดการขาย โดยเฉพาะในช่วงการเปิดตัวสินค้าใหม่หรือเวลามีโปรโมชั่นพิเศษ
ทั้ง SEO และ SMM นำเสนอ “อะไรบางอย่าง” ให้กับลูกค้าเมื่อรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร โดย SEO และ SEM จะใช้ Keyword เป็นตัวบ่งบอก ส่วน SMM จะใช้พฤติกรรมหรือ Profile แทน Keyword
ซึ่ง “อะไรบางอย่าง” ที่ว่าก็คือ “Content” นั่นเอง
ดังนั้นในการทำ Digital Marketing ไม่ว่าจะเป็น SEO, SEM, และ SMM
ต้องเริ่มจาก “Content” เสมอ
*หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ลองอ่านบทความเก่าของผม การออกแบบเว็บไซต์ที่ดี ตอนที่ 6 … ค้นหาได้ง่าย ดูครับ
ขอขอบคุณภาพ SEO vs SMM จาก http://www.nishta.in