เว็บไซต์หลายๆ แห่งที่มีการออกแบบที่สวยงาม แต่กลับไม่ค่อยมีคนเข้าเท่าไรนัก แน่นอนคอนเทนต์ที่ดีย่อมมีผลต่อจำนวนคนที่เข้าเว็บ การใช้งานที่ง่ายและรวดเร็วก็มีผลเช่นเดียวกัน และยังมีอีกหลายๆ ปัจจัยที่ล้วนมีผลต่อการเข้าชมและกลับมายังเว็บไซต์อีกครั้ง ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า “ประสบการณ์ในการใช้งาน” หรือ “User Experience” หรือ “UX” นั่นเอง ดังนั้น UX จึงเป็นตัวกำหนดชะตาของเว็บไซต์ได้เลยทีเดียว
อาจมีหลายๆ คนที่ยังคงสับสนระหว่าง UI (User Interface) กับ UX (User Experience) ขออธิบายดังนี้
UI นั้นเป็นส่วนของการออกแบบและรูปร่างหน้าตาหรือที่เรียกว่า “Look and Feel” ของเว็บไซต์ เช่น เมนู สีสรร ตัวอักษร การจัดวาง และความสวยงาม เป็นต้น ในขณะที่ UX คือประสบการณ์ในการเข้ามาใช้งานของลูกค้า (หรือผู้เยี่ยมชมและสมาชิกของเว็บไซต์) เช่นเข้ามาแล้วชอบเนื้อหาของเว็บ การใช้งานที่รวดเร็ว การหาข้อมูลที่ง่าย เป็นต้น การออกแบบที่สวยงามอาจจะให้ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเข้ามาเห็นแล้วต้องร้อง “ว๊าวววววว”
แต่เว็บไซต์ไม่ใช่ผู้หญิงครับ ที่ความสวยงามจะรับประกันได้ว่าคนเห็นแล้วจะต้องชอบ นั่นอาจจะเป็นได้ว่าในความสวยงามนั้นต้องโหลดข้อมูลมากมาย จึงทำให้ทำงานได้ช้า จนรู้สึกนานเกินไปและไม่อยากรออีกต่อไป
สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ได้ว่า UI เป็นเรื่องของหน้าตาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ UX นั่นเอง
ดังนั้นในการออกแบบเว็บไซต์อย่างมุ่งประเด็นไปที่ UI เพียงอย่างเดียวแต่ต้องดู UX ในภาพรวมด้วย
ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึง Content ว่าจะต้องดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ เราสมมุติว่า Content หรือเนื้อหาของเว็บดีอยู่แล้วละกัน เราจะใช้วิธีง่ายๆ ในการปรับเว็บไซต์ให้มี UX ที่ดีขึ้นเพื่อทำให้คนที่เข้ามาเว็บของเราแล้วรู้สึกดีและอยากกลับมาใช้อีก นั่นก็แปลว่าเรามีจำนวนลูกค้าหรือสมาชิกมากขึ้นนั่นเอง
มีการทำวิจัยหาค่าเฉลี่ยของเวลาในการโหลดหน้าเว็บหนึ่งหน้า ซึ่งค่าที่ยอมรับกันได้อยู่ที่ 2.6 วินาที ถ้าหน้าไหนบนเว็บของคุณใช้เวลาโหลดนานกว่านี้..นั่นคือสัญญาณอันตรายครับ ทุกวันนี้จึงไม่ต้องแปลกใจกันเลยว่าทำไมเว็บไซต์มากมายหันมาใช้ปรัชญาการออกแบบที่เรียกว่า “Clean and Simple” คือแบบง่ายๆ สบายตานั่นเอง
Dunked.com ตัวอย่างการออกแบบเว็บไซต์ Clean and Simple
ดูตัวอย่าง เว็บไซต์ที่ใช้ Clean and Simple เพิ่มเติม
แต่ถ้าคุณไม่อยากเปลี่ยน Design ของเว็บมาเป็นแบบ Clean and Simple (บางทีก็เรียกว่า Minimalist) ก็ลองดูว่าบนเว็บของคุณมีอะไรที่มีขนาดไฟล์ใหญ่เช่นรูปต่างๆ ก็ลดขนาดมันลงมา หรือมีอะไรที่ใช้เวลาในการโหลดนานและกินทรัพยากรของเครื่องมากเช่น Flash ก็ลองปรับเป็นใช้อย่างอื่นเช่น html5 แทนดูครับ
ในปัจจุบันนี้การใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน Smartphone และ Tablet มีปริมาณมากถึง 40% ของปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตทั้งหมด และคาดการณ์ว่าภายในปี 2020 จะมีปริมาณมากกว่าการใช้งานจากเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป ดังนั้นเว็บไซต์ของคุณจำเป็นต้องรองรับการใช้งานจากอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องสร้าง Mobile Application ขึ้นมาแต่อย่างใด เพราะคุณสามารถทำ Responsive Website ได้
Responsive Website ก็คือเว็บไซต์ที่สามารถปรับหน้าตาของตัวเองให้เหมาะสมกับปุปกรณ์ที่เข้ามาใช้งานได้เอง ซึ่ง วิธีทำ Responsive Website นั้นมีหลายวิธี มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป
ตัวอย่าง Responsive Website (ภาพจาก http://www.netkandi.co.uk)
หลายๆ ครั้งที่เราเข้าไปในหน้าลึกๆ แล้วเกิดการหลงทาง หรือเจอทางตัน ไปต่อไม่ได้ หาทางออกไม่เป็น
ณ วินาทีนั้นการมองหาเมนูหรือลิงค์ Home ก็ยังเป็นอะไรที่ยากเกินไป แต่โลโก้ที่อยู่ด้านซ้ายบนนั้นมันเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของนักท่องเว็บว่า
“เมื่อคลิ๊กที่โลโก้ มันจะกลับไปที่หน้า Home ของเว็บไซต์”
ดังนั้นทุกหน้าที่ด้านบนซ้ายขอให้มีโลโก้ที่พาลูกค้ากลับไปยังหน้า Home ได้ก็ช่วยได้เยอะแล้วครับ
มาถึงตรงนี้ขอเตือนอีกอย่างครับถ้าตราบใดที่การคลิ๊กแล้วเนื้อหาที่กำลังจะขึ้นมายังอยู่ภายในเว็บของคุณ
“อย่าเปิด Tab หรือ Window ใหม่เด็ดขาด”
หลายคนอาจจะนึกว่าการทำเช่นนั้นก็คือการหาทางไปต่อให้กับลูกค้า ไม่ใช่เลยครับเพราะนั่นคือการทำให้ลูกค้ารำคาญมากๆ และหลงทางไปเรื่อยๆ อีกด้วย
อ้อ…ห้ามทำ Pop-up โดยเด็ดขาดเช่นกันเพราะมันสร้างความรำคาญสุดๆ และมีแต่เว็บไซต์ที่ไม่มีคลาส เว็บลามก เว็บหลอกลวง เท่านั้นที่ใช้เทคนิคนี้
เช่น ถ้าใช้ “อ่านเพิ่มเติม” ก็ให้ใช้ “อ่านเพิ่มเติม” ทั้งเว็บไม่ใช่มีทั้ง “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” “อ่านเพิ่ม” หรืออย่างอื่นปะปนกันไปในเว็บ หรือ ปุ่ม “ตกลง” กับ “ยกเลิก” ปุ่มไหนใช้สีอะไร และอยู่ข้างไหน ก็ควรเป็นแบบนั้นทุกที่บนเว็บของคุณ อย่าสลับซ้าย-ขวาเชียว เพราะจะทำให้เกิดการกดผิดโดยผู้ใช้งานเป็นประจำ หรือ การใช้สี ขนาด หรือ น้ำหนักของฟอนท์ ก็ควรจะคงเส้นคงวาด้วย เช่น ลิงค์จะเป็นสีฟ้า หัวเรื่องจะเป็นสีอะไร ฟ้อนท์อะไร ขนาดอะไร ก็ควรจะเป็นแบบนั้นเสมอ
หรือจะมี Social Network อื่นๆ ด้วยก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องมี facebook เพราะ facebook นั้นมีผู้ใช้งานมากกว่า 1,400 ล้านคนทั่วโลกซึ่งรวมคนไทยเข้าไปถึงกว่า 30 ล้านคน คงไม่มีเว็บไหนในประเทศไทยที่มีสมาชิกมากเท่านี้อีกแล้ว
และfacebook เองก็เปิดวิธีให้เว็บไซต์เชื่อมต่อเข้าไปได้หลากหลาย เช่น
-Facebook Like คงไม่มีใครปฏิเสธว่าปุ่ม like แปลว่า facebook ดังนนั้นไม่มี..ไม่ได้
-Facebook Share เพื่อความสะดวกในการแชร์ให้เพื่อนๆ เมื่ออ่านแล้วเกิดอยากให้เพื่อนได้อ่านด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการไม่ใช่หรือ (บางครั้งปุ่ม Facebook Like กับ Facebook Share ก็กลายเป็นปุ่มเดียวกัน)
-Facebook Login อันนี้เพื่อใช้บัญชีการใช้งานของ Facebook เพื่อเข้าใช้งานในเว็บของคุณโดยผู้ใช้งานไม่ต้องสมัครสมาชิกใหม่ อันนี้แหละครับ ..โคตร Work เลย!
เพราะการที่จะให้มากรอกข้อมูลเพื่อสมัครสมาชิกอะไร เป็นเรื่องน่าเบื่อสุดๆ เหมือนกับการไปธนาคารแล้วโดนขอบัตรประชาชนเลยทีเดียว ไม่รู้จะขอไปทำไม เห็นหน้ากันทุกวันก็ยังขอทุกวัน..ป่วยจริงๆ
หากจะให้สมัครสมาชิก ก็ขอข้อมูลให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็น บางเว็บขอทุกอย่างกระทั่งรายได้ มีลูกกี่คน เจอแบบนี้… กูไม่ใช้ก็ได้วะเว็บนี้! เอาเท่าที่จำเป็นก็พอครับ หากคุณต้องการข้อมูลอื่นเพื่อเอาไปทำการตลาด ก็มาขอเพิ่มในลักษณะ campaign พิเศษขิงรถเบนซ์อะไรก็ว่าไป ตอนนั้นเค้าคงเต็มใจที่จะให้มากกว่า
มันมีกฏแห่งพระเจ้าอยู่ว่า “ผู้ใช้งานจะต้องเข้าถึงสิ่งที่ต้องการภายใน 3 คลิ๊ก” ถ้าเกินกว่านั้นถือว่าไม่ผ่าน หาของยากเกินไป และทำให้ไม่อยากใช้อีก ลองดูครับว่ามีอะไรในเว็บคุณที่ต้องกดเกิน 3 คลิ๊กหรือเปล่า? ถ้ามีอาจจะต้องพิจารณาออกแบบเมนูต่างๆ และการจัดหมวดหมู่กันใหม่ แต่ถ้ามันยากเกินไป..ลองพิจารณาสิ่งเหล่านี้ดู..เผื่อจะช่วยได้
-มีแถบ Search อยู่ทุกหน้าบนเว็บของคุณ
-การจัดเรียงแบบ F คือตาของเราจะกวาดจากด้านบนซ้ายและจากบนลงล่าง ดังนั้นอะไรที่อยู่ด้านขวาจะถูกมองเห็นน้อยกว่าด้านซ้าย และข้างบนจะเห็นบ่อยกว่าข้างล่าง เหมือนลักษณะของตัวอักษร F นั่นเอง
-การนำเสนอต่างๆ เช่น โพสที่เกี่ยวข้อง แบนเนอร์ หัวข้อแนะนำ หัวข้อยอดฮิต เป็นต้น
ยังมีวิธีเพิ่ม UX ให้กับเว็บไซต์อีกมากมายหลายวิธี แต่ 6 วิธีที่พูดถึงนี้อยากให้ลองไปใช้กันดูนะครับ ผมเชื่อว่า UX ของเว็บคุณจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และจำนวนคนใช้งานหรือลูกค้าก็จะมากขึ้นด้วย
แล้วคุณใช้วิธีใดในการเพิ่ม UX ให้กับเว็บของคุณบ้าง?
บอกกันบ้างสิครับ